ชีวิตพระลูกวัดร่ำเปิง http://maka.siam2web.com
   Main webboard   »   หน้าปฏิบัติ
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   ประวัติความเป็นมาของพระปาฏิโมกข์   (Read: 2676 times - Reply: 0 comments)   
จักรกริช (Admin)

Posts: 119 topics
Joined: 10/3/2552

ประวัติความเป็นมาของพระปาฏิโมกข์
« Thread Started on 28/11/2553 21:25:00 IP : 118.172.25.148 »
 

ประวัติความเป็นมาของพระปาฏิโมกข์ 

การสวดพระปาฏิโมกข์ ในครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ได้แสดงโอวาทปาฏิโมกข์  คือ หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ที่ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุวนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา   ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบัน[1] ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารเห็นพวกนักบวชลัทธิอื่นประชุมกล่าวธรรม ในวัน ๑๔ ค่ำ - ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ มีคนไปฟังธรรม คนเหล่านั้นมีความรัก มีความเลื่อมใสศรัทธา ทำให้นักบวชพวกนั้น เกิดความเลื่อมใส เข้าเป็นฝักฝ่าย พระเจ้าพิมพิสารทรงปรารถจะให้ภิกษุในพระพุทธศาสนาทำอย่างนั้นบ้าง จึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลพระราชดำรินั้น พระผู้มีพระเจ้าก็ทรงอนุมัติ ทรงประทานพุทธานุญาตให้ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ - ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ในครั้งแรกภิกษุทั้งหลายประชุมกัน แต่นั่งนิ่งๆ พวกชาวบ้านทั้งหลายมาหวังที่จะได้ฟังธรรมก็ไม่ได้ฟัง จึงพากันติเตียน ภายหลังพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย ประชุมกันเพื่อกล่าวธรรมได้ ต่อมาพระพุทธองค์ได้ทรงดำริว่า พระองค์จะอนุญาตให้เอาสิกขาบท ที่พระองค์ทรงบัญญัติแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้เป็นปาฏิโมกขุทเทสของเหล่าภิกษุทั้งหลาย ปาฏิโมกขุทเทสนั้นจักเป็นอุโบสถของพวกเธอ พระพุทธองค์ได้มีพระบัญญัติตามที่ทรงดำริ แล้วอนุญาตให้สวดพระปาฏิโมกข์และทรงแสดงวิธิสวดพระปาฏิโมกข์ พุทธสาวกจึงนำมาศึกษาและปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน[2]

 เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความประสงค์ที่จะบัญญัติ ความสำคัญของสิกขาบทในฐานะที่จะทำให้พระพุทธศาสนามีอายุยืนนาน พระสารีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ถึงเวลาแล้ว   ที่จะทรงบัญญัติสิกขาบท และถึงเวลาแล้วที่จะทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่สาวก อันจะเป็นเหตุให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ได้นาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  จงรอก่อนสารีบุตร ตถาคตผู้เดียวจะรู้กาลในกรณีนั้น ก็บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ภิกษุที่ทรงคุณธรรมอย่างต่ำ ก็เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงเป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า  กล่าวคือ พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้นต่างก็เป็นพระอริยบุคคล จึงรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ผิดพลาดให้เกิดความเสื่อมเสีย จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องบัญญัติพระวินัยในตอนนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส ถึงกาลเวลาแห่งการที่จะบัญญัติสิกขาบท และ การแสดงพระปาฏิโมกข์ว่าจะกระทำเมื่อ มีอาสวัฏฐานิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ เช่น การเสพเมถุน การลักทรัพย์ การอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน เป็นต้น เกิดขึ้นในสงฆ์หรือในศาสนานี้  เมื่อใดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นปรากฏขึ้น เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาฏิโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรม การที่อาสวัฏฐานิยธรรมจะปรากฏในสงฆ์หรือในศาสนานั้น มีเหตุอยู่ ๓ ประการ

๑) สงฆ์เป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนานแล้ว หมายถึง เป็นหมู่ใหญ่เพราะมีภิกษุเถระซึ่งบวชมานานจำนวนมาก  เพราะจะมีเหตุให้พระพุทธองค์บัญญัติสิกขาบทเกี่ยวกับพระเถระ เช่น พระเถระรูปใดโง่เขลาไม่พึงให้อุปสมบท เป็นต้น

๒) สงฆ์เป็นหมู่ใหญ่โดยแพร่หลายแล้ว หมายถึง มีแพร่หลายทั้งพระเถระ พระภิกษุ ปานกลาง และพระภิกษุผู้บวชใหม่ เพราะจะมีเหตุให้พระพุทธองค์บัญญัติสิกขาบทเกี่ยวกับการวางตัวระหว่างภิกษุที่ต่างพรรษากัน

๓) สงฆ์เป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภแล้ว เพราะจะมีเหตุให้พระพุทธองค์บัญญัติสิกขาบทเกี่ยวกับเรื่องลาภสักการะ เช่น ภิกษุใดให้ของควรเคี้ยวหรือ ของควรบริโภคด้วยมือของตนแก่นักบวชเปลือยก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ เป็นต้น[3]

พระสารีบุตรกราบทูลให้ทรงบัญญัติสิกขาบทในพรรษานั้นพระสารีบุตรได้ทูลถามถึงพระศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ว่าพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนดำรงอยู่ได้นาน พระองค์ไหนดำรงอยู่ได้ไม่นาน พระบรมศาสดาจึงตรัสว่าศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู ดำรงอยู่ไม่นาน เพราะทรงแสดงธรรมไว้น้อยทั้งมิได้ทรงบัญญัติสิกขาบท และมิได้แสดงปาติโมกข์ แก่สาวกทั้งหลาย นี่คือเหตุที่พระศาสนาดำรงอยู่ได้ไม่นาน ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ ดำรงอยู่ได้นานเพราะแสดงธรรมไว้มากทรงบัญญัติสิกขาบท และทรงแสดงปาติโมกข์ นี่คือเหตุที่พระศาสนาดำรงอยู่ได้นาน พระสารีบุตรจึงกราบทูลให้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทและทรงแสดงพระปาติโมกข์[4]    

ดังนั้น จากประวัติความเป็นมาของพระปาฏิโมกข์  พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้นาน ต่อเมือพระพุทธองค์ได้บัญญัติพระธรรม และพระวินัย เพื่อใช้เป็นเครืองมือในการบาริหารจัดการองกรค์ของคณณะสงฆ์  และการทรงจำไว้ซึ่งพระปาฏิโมกข์ ทุก ๑๔ค่ำ – ๑๕ค่ำ  ก็จะทำให้สิกขาบัญญัติในธรรมวินัยของพระพุทธองค์ไม่คาดเคื่อน



[1] คณาจารย์แห่งโรงพิมพ์เลียงเชียง, “พุทธประวัติ  ฉบับมาตรฐาน  พิมพ์ครั้งที่  ๒” ,                          (  จ.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง,  ๒๕๔๐), หน้า ๗๙ -๘๑.

[2] สุชีพ  ปุญญานุภาพ, “พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน พิมพ์ครั้งที่  ๑๖ ,                                  (  จ.กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย  ในพระพบรมราชูปถัมถ์, ๒๕๓๙ ), หน้า ๒๗๙ – ๒๘๐.

[3]วิ.มหา. (ไทย)  ๑/-/๑๘-๒๑.

[4] สุชีพ  ปุญญานุภาพ, “พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน พิมพ์ครั้งที่  ๑๖ ,(กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย  ในพระบรมราชูปถัมภ์),  หน้า ๑๓๙ – ๑๔๐.

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share

   Main webboard   »   หน้าปฏิบัติ
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Advertising Zone    Close


Online: 1 Visits: 128,413 Today: 2 PageView/Month: 34

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...