|
|
|
Started by |
|
|
Topic: การประพฤติการประฏิบัติ (Read: 652 times - Reply: 0 comments) |
|
|
|
จักรกริช (Admin) |
Posts: 119 topics
Joined: 10/3/2552
|
|
การประพฤติการประฏิบัติ
|
« Thread Started on 29/3/2552 22:09:00 IP : 118.172.24.193 » |
|
|
|
การประพฤติการประฏิบัติ
การประพฤติการประฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราจะต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกาย มีการงาน มีภารกิจส่วนตัวและส่วนรวม เรียกว่า มีการกระทำออกไปทางกาย ทางวาจา ทางใจ ชีวิตเราไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ตลอดเวลา หรือไม่มีใครที่จะอยู่กับที่ได้ตลอดเวลา ต้องมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงอิริยาบถ เพราะร่างกายที่นั่งไปนานๆก็เป็นทุกข์ปวดเมื่อย ก็ต้องเปลี่ยนเป็นยืนบ้าง นอนบ้าง เดินบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถไหนก็ตกอยู่ในสภาพทุกข์ทั้งนั้น แม้แต่ในอิริยาบถนอนซึ่งส่วนใหญ่เราจะชอบอิริยาบถนี้ แต่เราก็ไม่สามารถนอนได้ตลอดเวลาได้ หรืออยู่ในท่าเดียวได้โดยไม่ต้องพลิกตัว การที่ร่างกายนี้เป็นทุกข์ต้องเปลี่ยนแปลงอิริบถกันอยู่เรื่อย ก็เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ พระพุทธองค์ตรัสกับพาหิยะว่า พาหิยะ จงสำเหนียกว่า ถ้าเห็นสักแต่ว่าเห็น ในสิ่งที่ได้เห็น ถ้าได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ในสิ่งที่ได้ยิน ถ้ารู้สักแต่ว่ารู้ ในสิ่งที่ได้รู้ พระพุทธองค์ทรงวางหลักเกณฑ์ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างเป็นขั้นตอนเอาไว้ 7 ประการทรงแนะนำให้ลงมือปฏิบัติไปทีละขั้นตามลำดับโดยไม่ข้ามขั้น เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ชื่อ คณกโมคัลลานะ ได้เข้าไปทูลถามปัญหา มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า "ในการให้การศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระองค์จะทำเป็นขั้นตอนไปได้หรือไม่?" พระพุทธองค์ทรงตอบว่า พระองค์ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ ในการฝึกฝนตามลำดับดังนี้ 1.จงเป็นผู้ที่มีศีล โดยทรงแนะนำให้รักษาศีลให้ได้ก่อน โดยให้เป็นผู้ที่มีกิริยาเรียบร้อย รู้จักที่ควรและไม่ควร 2.จงเป็นผู้คุ้มครองทวารทั้งหกอยู่เสมอ คือให้คอยสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การคิดนึก เอาไว้อยู่เสมอในขณะสัมผัสอารมณ์ต่างๆ กระทั่งสามารถรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง 3.จงเป็นผู้ประมาณในการบริโภคอาหาร คือ กินแต่พอดีเท่าที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต ทั้งไม่ควรกินอาหารจุบจิบไม่เป็นเวลา 4.จงเป็นผู้มีความตื่นอยู่เสมอ โดยการชำระจิตให้บริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย อาศัยการเดินจงกรมกับการนั่งกำหนดรู้ตัวอยู่โดยไม่ให้มีความวิตกกังวล ความห่วงใยอาวรณ์ใดๆ 5.จงเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ คือ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน เคลื่อนไหว 6.จงพอใจในที่อยู่อันสงัด การประพฤติปฏิบัติอยู่ในที่สงบตามลำพัง หรือปลีกตนออกจากหมู่คณะเป็นครั้งคราว 7.จงใช้สติกำหนดรู้กายเวทนา จิต ธรรม เมื่อมีใจสงัดออกจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว จงใช้สติกำหนดพิจารณาให้เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรม ทั้งหลายอยู่เนืองๆ ฉะนั้นการที่จะมาปฏิบัติที่วัดร่ำเปิง (ตะโปทาราม) ก็มีขั้นตอนตามรำดับดังนี้ .......1.////
| |
|
|
|
|
|
|